สเต็มเซลล์ (Stem Cell) เทคโนโลยีการรักษาและฟื้นฟูร่างกายแห่งอนาคต
ในยุคที่ใครก็สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า “สเต็มเซลล์” กันมาบ้างแล้ว ซึ่งในต่างประเทศและในประเทศไทยของเราเองก็มีการวิจัยและศึกษาอย่างต่อเนื่อง หากแต่สเต็มเซลล์ในประเทศไทยอาจยังไม่ถูกกล่าวถึงอย่างแพร่หลายมากนัก โดยส่วนใหญ่จะกล่าวถึงประโยชน์ในแง่ของความสวยความงาม และชะลอวัยเป็นหลัก ขณะที่ความเป็นไปได้ในการใช้สเต็มเซลล์ช่วยรักษาโรคต่างๆ หรือแม้แต่งานวิจัยก้าวหน้าไปไกลและมีความน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ วันนี้เรามาทำความรู้จักสเต็มเซลล์ให้มากขึ้น เพื่อเป็นทางเลือกในการรักษาร่วม หรือเป็นข้อมูลในการทำการเก็บสเต็มเซลล์ในอนาคตได้
สเต็มเซลล์ (Stem cell) หรือเซลล์ต้นกำเนิด คืออะไร ?
สเต็มเซลล์ คือ เซลล์ชนิดหนึ่งที่เป็นเซลล์ต้นกำเนิดมาจากมนุษย์ โดยสามารถพัฒนาและเติบโตไปเพื่อทำหน้าที่ในระบบใดระบบหนึ่งของอวัยวะต่างๆ และมีศักยภาพในการแบ่งตัว เพื่อเข้าไปซ่อมแซมหรือทำหน้าที่เซลล์ในอวัยวะต่างๆ ทั่วทั้งร่างกายอยู่เสมอๆ และจะเริ่มแบ่งตัวได้ช้าลงจากสายพันธุกรรมที่สั้นลงเรื่อยๆ ซึ่งการแพทย์สมัยใหม่ได้มีการศึกษาและวิจัยจนช่วยให้เราสามารถเพิ่มจำนวนเซลล์ใหม่ๆ เพื่อช่วยชะลอความเสื่อมถอยให้ร่างกาย ช่วยลดโอกาสความเจ็บป่วย และช่วยให้เราแก่ช้าลง
การรักษาด้วย สเต็มเซลล์ คืออะไร ?
ด้วยนวัตกรรมการรักษาที่ก้าวหน้า ทำให้ความสามารถของสเต็มเซลล์ช่วยให้การรักษาและฟื้นฟูได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าในอดีต ซึ่งในปัจจุบันสเต็มเซลล์ได้รับความสนใจนำมารักษาและฟื้นฟูโรคในมนุษย์เป็นอย่างมาก โดยการนำเซลล์ที่ผ่านการเก็บและเพาะเลี้ยงอย่างพิถีพิถันตามกระบวนการมาตรฐานของห้องทดลองที่ได้คุณภาพ และนำมาฉีดกลับเข้าที่บริเวณกล้ามเนื้อ เส้นเลือด หรือข้อเข่า เพื่อให้สเต็มเซลล์ได้เข้าไปแบ่งตัวในอวัยวะนั้นๆ และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่เสื่อมสภาพลง เช่น บาดแผลจากการผ่าตัด ซึ่งการฉีดสเต็มเซลล์จะช่วยให้แผลสมานได้เร็วขึ้น หรือการเข้าไปเสริมการทำงานของตับอ่อนในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพื่อทดแทนเซลล์ที่เสื่อมลงไป ทำให้ตับอ่อนกลับมาทำงานได้อีกครั้ง เป็นต้น
สเต็มเซลล์ที่ใช้ฟื้นฟูร่างกาย จำเป็นต้องมีรหัสพันธุกรรมเดียวกันหรือไม่ ?
นวัตกรรมการรักษาทางการแพทย์ที่ก้าวล้ำ ส่งผลให้การใช้สเต็มเซลล์ปัจจุบันไม่จำเป็นต้องใช้สเต็มเซลล์ของญาติ พี่น้อง หรือคนในครอบครัวที่มีรหัสพันธุกรรมเดียวกันได้ โดยเราสามารถใช้สเต็มเซลล์ หรือเซลล์ต้นกำเนิด ที่เป็นเซลล์อ่อนวัยต่างพันธุกรรมในการฟื้นฟูร่างกาย ทั้งยังเป็นสเต็มเซลล์ที่มี Active Stem Cell สามารถทำงานในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในการฟื้นฟู ทดแทน และซ่อมแซมเซลล์ที่เสื่อมสภาพได้เป็นอย่างดี โดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง (Side Effect) อื่นๆ ตามมา
ความสามารถของสเต็มเซลล์กับการรักษาโรคในปัจจุบัน
มาถึงตรงนี้หลายคนคงสงสัยว่า สเต็มเซลล์ช่วยเรื่องอะไรได้อีกบ้าง หรือมีความสามารถอย่างไร อีกทั้งสเต็มเซลล์ที่หลายหน่วยงานทำการศึกษาวิจัยและทดลองกันมาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน ในทางการแพทย์มีความสามารถในการฟื้นฟูโรคต่างๆ จนก้าวหน้าไปถึงจุดไหนแล้ว มาหาคำตอบไปพร้อมกัน
1. หลีกเลี่ยงการผ่าตัดที่ไม่จำเป็น
การใช้สเต็มเซลล์ หรือเซลล์ต้นกำเนิด ฉีดเข้าบริเวณต่างๆ โดยเฉพาะในช่วงที่มีอาการในระยะเริ่มต้นไม่รุนแรง จะสามารถบรรเทาความรุนแรงของอาการ หรือความเสี่ยงของโรคให้เบาลงได้ ช่วยให้ไม่ต้องเข้ารับการผ่าตัด ทั้งยังสามารถใช้ร่วมกับวิธีการรักษาหลักทางการแพทย์ได้ เช่น โรคกระดูกข้อเข่าเสื่อม การฉีดสเต็มเซลล์เฉพาะจุดที่ข้อเข่า จะสามารถฟื้นฟูเนื้อเยื้อบริเวณข้อต่อให้กลับมาหนาตัวขึ้น ลดการกระแทกและการเสียดสีของข้อเข่า
2. การฟื้นฟูแผลหลังเข้ารับการผ่าตัด
สำหรับผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดโดยการใช้มีดเปิดแผล หรือการใส่ท่อระบายเลือดในระหว่างการผ่าตัด แล้วเกิดเป็นแผลเย็บปิดบริเวณที่ผ่าตัด การฉีดสเต็มเซลล์จะเข้ามาช่วยในส่วนของการสมานแผล เพราะแผลผ่าตัดเกิดจากเนื้อเยื่อเกิดการอักเสบ เสียหาย เมื่อมีเซลล์เข้ามาเพิ่มจึงสามารถสร้างหลอดเลือด หรือเนื้อเยื่ออื่นๆ ได้เร็วขึ้น แผลจึงหายได้เร็วขึ้นนั่นเอง
3. ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังบางชนิด (ระยะเริ่มต้น)
ในบางโรค สเต็มเซลล์สามารถลดโอกาสความเจ็บป่วยลงได้เช่นกัน เพราะเมื่อฉีดสเต็มเซลล์ หรือเซลล์อ่อนต้นกำเนิดเข้ามาในร่างกาย กระบวนการแบ่งตัวของเซลล์จะเริ่มขึ้น ทำให้ร่างกายสามารถผลิตสเต็มเซลล์ได้มากขึ้น ช่วยยับยั้งความเสื่อมถอยให้ช้าลง จึงช่วยลดโอกาสเกิดความเจ็บป่วยให้น้อยลงได้ รวมถึงผู้ป่วยเบาหวานระยะเริ่มต้นที่มีน้ำตาลเกาะในเส้นเลือดอยู่มาก ก็สามารถใช้สเต็มเซลล์เข้าไปช่วยกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อๆและหลอดเลือดใหม่ๆ รวมถึงฟื้นฟูการทำงานของเซลล์ตับอ่อนให้ทำงานดีขึ้นได้
การฟื้นฟูร่างกายด้วย Stem Cell Therapy ในต่างประเทศเป็นอย่างไรบ้าง ?
หลายประเทศมีความเห็นว่าการศึกษาและทำวิจัยเกี่ยวกับ ‘สเต็มเซลล์’ เป็นการสร้างความหวังที่ดีให้กับทั้งวงการวิทยาศาสตร์และการรักษาทางการแพทย์ ซึ่งได้แก่ความสามารถในการสร้างทดแทนเซลล์ต่างๆ และเปลี่ยนแปลงไปเป็นอวัยวะ เพื่อทำการปลูกถ่ายในที่สุด หรือยาในอนาคตอาจจะเข้ามาแก้รหัสพันธุกรรมได้ เพื่อรักษาโรคทั่วไปที่ยากเกินกว่าความสามารถของมนุษย์ และมนุษย์ในอนาคตอาจมีอายุยืนยาวขึ้น ซึ่งทั้งหมดของความคาดหวังนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการทดลองและศึกษาวิจัย ซึ่งต้องใช้ทั้งเวลาและความพร้อมของนักวิทยาศาสตร์ร่วมด้วย
ตัวอย่างเช่น ในประเทศฝรั่งเศสได้มีการนำสเต็มเซลล์มาใช้รักษาโรคโลหิตจาง และโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิดได้หายขาดแล้ว
ในส่วนประเทศไทยของเราเองก็มีหน่วยสเต็มเซลล์และเซลล์บำบัดคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการศึกษาวิจัยเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ผิวกระจกตา สร้างเป็นแผ่นกระจกตา และประสบความสำเร็จในการนำมาใช้รักษากับผู้ป่วยระดับหนึ่งแล้ว
ถึงแม้ว่าการรักษาและฟื้นฟูด้วยสเต็มเซลล์จะใช้กับร่างกายได้ในหลายจุด และให้ผลลัพธ์การฟื้นฟูที่น่าพึงพอใจมากเพียงใด แต่หากต้องการใช้สเต็มเซลล์จำเป็นต้องได้รับคำปรึกษาดูแลโดยทีมแพทย์ดีกรีอเมริกันบอร์ดด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย (Anti-Aging) และได้รับการรองรับจากสมาคมเซลล์บำบัดแห่งประเทศไทย ก่อนทุกครั้ง ซึ่งที่ R3 Life Wellness Center เรามีทีมแพทย์คอยให้บริการแนะนำและให้คำปรึกษาในด้านการใช้สเต็มเซลล์โดยเฉพาะ เพื่อประเมินสภาพร่างกาย เนื่องจากจะมีการใช้จำนวนสเต็มเซลล์ และวิธีการรักษาที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือสำรองเวลาเข้ารับบริการ ได้ที่
R3 Life Wellness Center 42 อาคาร ไอ ซี พี ชั้น 4 ถนนสุรวงศ์ แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กทม.
โทร. 0 2233 8000, 088 689 8888
Facebook: https://www.facebook.com/r3lifewellness
Line: @r3lifewellness
อ้างอิงข้อมูล :
https://chulalongkornhospital.go.th/kcmh/stem-cell-regenerative-medicine/
https://www.bangkokbiznews.com/social/1017844