สเต็มเซลล์ (Stem Cell) คือ เซลล์ต้นกำเนิด ที่มีความสามารถพิเศษในการแบ่งตัวและพัฒนาเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ ในร่างกาย ใช้เพื่อซ่อมแซม ฟื้นฟู และทดแทนเซลล์ที่เสื่อมสภาพหรือเสียหาย ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญในเวชศาสตร์ชะลอวัยและการช่วยฟื้นฟูโรคที่เป็นอยู่หรือบรรเทาอาการให้เจ็บปวดน้อยลง
สำหรับผู้ที่สนใจการฉีดสเต็มเซลล์ คงเคยได้ยินว่าสเต็มเซลล์มีกระบวนการที่ค่อนข้างซับซ้อน ตั้งแต่การเก็บเซลล์ การเพาะเลี้ยง ไปจนถึงการนำไปใช้กับร่างกาย วันนี้เรารวบรวม Q&A คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดสเต็มเซลล์ที่คุณควรรู้มาไว้ที่นี่ เพื่อคลายความสงสัยสำหรับใครที่กำลังสนใจหาตัวช่วยชะลอวัยและทางเลือกในการรักษาโรคในอนาคต!
Q&A ตอบคำถามที่พบบ่อย! 9 ข้อที่คุณควรรู้ก่อนฉีดสเต็มเซลล์ (Stem Cell)
ตอบทุกคำถามที่คุณสงสัยเกี่ยวกับการฉีดสเต็มเซลล์ ทั้งข้อควรรู้และคำแนะนำที่คุณไม่ควรพลาด รวมถึงข้อห้ามหลังฉีดสเต็มเซลล์และผลข้างเคียงที่ควรระวัง ต้องรู้อะไรบ้างตามมาเช็กลิสต์ไปพร้อมกัน!
1. สเต็มเซลล์มาจากไหน ?
ตอบ : เซลล์บำบัด (Stem Cells Therapy) หรือที่หลายคนรู้จักกันว่าการฉีดสเต็มเซลล์ คือการใช้เซลล์ต้นกำเนิดชนิด MSCs หรือ Mesenchymal Stem Cells ซึ่งได้มาจาก 2 แหล่ง คือ เนื้อเยื่อสายสะดือ (Cord Tissue) และเยื่อหุ้มรก (Amnion) ทั้งสองแหล่งนี้มีคุณสมบัติในการพัฒนาเป็นเซลล์ชนิดต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่จำเป็นต้องหาค่าความเข้ากันได้ทางสายเลือด
สำหรับผู้ที่กำลังค้นหาว่าฉีดสเต็มเซลล์ที่ไหนดี เพื่อคงคุณภาพของเซลล์และให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรเลือกพาร์ตเนอร์พาร์ทเนอร์แล็บที่ได้มาตรฐาน เช่น ห้องปฏิบัติการ Clean Room Class 100 หรือ ISO 15189, ISO 15190, ISO 27001, ISO 9001 ที่ได้รับการรับรองสำหรับการจัดการเซลล์ต้นกำเนิด รวมถึงการรับรองจาก NIA และ ISBT และที่มีมาตรฐานการเพาะเลี้ยงเซลล์ที่ดี
กระบวนการเพาะเลี้ยงเริ่มต้นทันทีหลังจากนำเซลล์สดออกจากห้องคลอด โดยใช้ Xeno-free Culture Medium ซึ่งไม่มีส่วนประกอบจากสัตว์ และเป็น Cell culture media ที่ได้มาตรฐาน GMP-compliant manufacturing อีกทั้งระหว่างการเก็บรักษาเซลล์ ควรมีมาตรฐานการจัดเก็บที่ดี โดยเซลล์จะถูกเก็บที่อุณหภูมิ -196°C ในไนโตรเจนเหลว เพื่อคงความมีชีวิตและคุณภาพที่ดีที่สุด และรักษาเซลล์ให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้ในการรักษาได้
2.ฉีดสเต็มเซลล์เหมาะกับใครบ้าง
การฉีดสเต็มเซลล์เหมาะสำหรับ 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ ผู้ที่ต้องการบรรเทาโรค และ ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูด้านความงามและชะลอวัย
สำหรับ การรักษาโรค การฉีด stem cell จะช่วยฟื้นฟูเซลล์ที่เสื่อมสภาพ เหมาะกับผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม รูมาตอยด์ เบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคทางระบบประสาท เช่น พาร์กินสัน อัลไซเมอร์ โรคหลอดเลือดสมอง และอัมพาต นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ที่มีภาวะไตวาย ภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือกำลังฟื้นตัวจากโควิด-19
ด้านการ ฉีดสเต็มเซลล์เพื่อความงามและเวชศาสตร์ชะลอวัย สเต็มเซลล์ช่วยลดริ้วรอย กระชับผิว และฟื้นฟูเซลล์ผิวให้แข็งแรงจากภายใน โดยช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ เปล่งปลั่งขึ้น
3. อายุเท่าไหร่ถึงจะฉีดสเต็มเซลล์ได้ ?
ตอบ : การฉีดสเต็มเซลล์ (Stem Cell) แนะนำสำหรับผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป เพราะร่างกายเริ่มเสื่อมสภาพ เซลล์มีการเสื่อมตามอายุและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต การฉีดสเต็มเซลล์ช่วยฟื้นฟูเซลล์ที่อ่อนแอหรือเสียหาย
ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัย เพื่อประเมินแผนการรักษาให้เหมาะสมตามแต่ละปัญหาของบุคคล
4. ผลลัพธ์หลังจากฉีดสเต็มเซลล์ อยู่ได้นานแค่ไหน ?
ตอบ : ระยะเวลาที่ผลลัพธ์คงอยู่หลังจากการฉีดสเต็มเซลล์ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น จุดประสงค์ในการฉีดสเต็มเซลล์ คุณภาพของสเต็มเซลล์ สุขภาพของผู้รับการรักษา และการดูแลตัวเองหลังฉีด โดยทั่วไป
หากเป็นการรักษาปัญหาสุขภาพ เช่น ข้อเข่าเสื่อมระยะแรกเริ่ม การฉีดสเต็มเซลล์ 5-10 ล้านเซลล์ต่อข้าง อาจเพียงพอ และหากไม่มีการบาดเจ็บเพิ่มเติม ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานหลายปี แต่ในกรณีที่อาการรุนแรงขึ้น หรือมีการใช้งานข้อเข่าหนัก อาจต้องได้รับการฉีดเพิ่มเติมเพื่อคงประสิทธิภาพของการรักษา
สำหรับการฟื้นฟูร่างกายและผิวพรรณ การฉีดสเต็มเซลล์สามารถช่วยลดริ้วรอย ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ และเพิ่มความแข็งแรงของร่างกาย หากต้องการผลลัพธ์ที่ต่อเนื่อง แนะนำให้ฉีดปีละ 1-2 ครั้ง หรือปีเว้นปี ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผลข้างเคียงของการฉีดสเต็มเซลล์อย่างละเอียด และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมในข้อห้ามหลังฉีดสเต็มเซลล์หน้า เช่น การสัมผัสผิวแรง ๆ การอบซาวน่า หรือการทาครีมที่มีสารกัดผิวภายในช่วงแรกหลังการฉีด เพื่อให้ผลลัพธ์มีความยาวนานและปลอดภัยที่สุด
5. สามารถใช้สเต็มเซลล์คนอื่นมาฉีดได้ไหม ?
ตอบ : สเต็มเซลล์ชนิด MSCs (Mesenchymal Stem Cells) เป็นเซลล์ประเภทที่ไม่จำเป็นต้องเข้ากันได้ทางสายเลือด และสามารถพัฒนาเป็นเซลล์ชนิดอื่นเพื่อซ่อมแซมอวัยวะที่อักเสบหรือบาดเจ็บ โดยเฉพาะการฟื้นฟูตับ ลดพังผืด กระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ และเสริมความแข็งแรงให้ร่างกาย
เพื่อให้มั่นใจในประสิทธิภาพและความปลอดภัย ควรเลือกใช้ MSCs ที่ผ่านการคัดเลือกและตรวจสอบคุณภาพได้รับมาตรฐาน GMP และการรับรองจาก ISO 15189, ISO 15190, ISO 27001, ISO 9001 รวมถึง NIA, ISBT และห้อง Clean Room Class 100 เพื่อความปลอดภัยสูงสุด
6. ฉีดสเต็มเซลล์กี่ครั้งถึงเห็นผล ?
ตอบ : จำนวนครั้งที่ฉีดสเต็มเซลล์ขึ้นอยู่กับความต้องการและสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล ในบางกรณี เพียงครั้งแรกก็สามารถเห็นผลได้ โดยเฉพาะในด้านอาการเจ็บ เช่น หากฉีดเพื่อรักษาข้อเข่าเสื่อมอาการปวดมักจะเริ่มบรรเทาลงภายใน 5 วัน หลังการรักษา และจะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 1-2 เดือน จากนั้นข้อเข่าจะรู้สึกแข็งแรงขึ้นตามการใช้งานในชีวิตประจำวัน ทั้งนี้ผลลัพธ์ขึ้นอยู่ตามแต่ละบุคคล
หากฉีดสเต็มเซลล์หน้าใส ผลลัพธ์มักเริ่มเห็นได้ใน 1-2 สัปดาห์แรก ผิวจะดูกระจ่างใสขึ้น ริ้วรอย ฝ้า กระ และจุดด่างดำลดลง พร้อมทั้งช่วยให้เซลล์ผิวแข็งแรงขึ้น โดยปกติ หากไม่มีปัญหาผิวที่รุนแรง การฉีดเพียงครั้งเดียวก็สามารถให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจได้สำหรับบางคน ทั้งนี้ผลลัพธ์ขึ้นอยู่ตามแต่ละบุคคล
อย่างไรก็ตาม แนะนำให้เข้าพบแพทย์เพื่อติดตามผลหลัง 6-8 เดือน เพื่อประเมินสภาพร่างกายและพิจารณาว่าควรฉีดเพิ่มเติมหรือไม่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของแต่ละบุคคลและแผนการรักษาที่เหมาะสม
7. ฉีดสเต็มเซลล์จุดไหนได้บ้าง ?
ตอบ : สามารถฉีดสเต็มเซลล์ได้ในหลายตำแหน่งของร่างกาย โดยแต่ละตำแหน่งมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ซึ่งควรได้รับการดูแลจากแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย ซึ่งจะเป็นคุณหมอที่มีความรู้และเคยมีเคส เพื่อความปลอดภัยสูงสุด และลดความเสี่ยงจากฉีดสเต็มเซลล์ ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง
- ใบหน้า: ช่วยลดริ้วรอย กระชับรูขุมขน ลดความหมองคล้ำ และฟื้นฟูสภาพผิวให้ดูอ่อนเยาว์
- หนังศีรษะ: กระตุ้นการงอกใหม่ของเส้นผม ลดปัญหาผมร่วง ผมบาง
- ฉีดสเต็มเซลล์เข้าหลอดเลือดดำ: เป็นวิธีที่ช่วยฟื้นฟูเซลล์ทั่วร่างกาย ช่วยปรับสมดุล และเสริมสร้างสุขภาพจากภายใน โดยขั้นตอนนี้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัย
- ฉีดเข้าสู่กล้ามเนื้อโดยตรง: นิยมฉีดในบริเวณข้อเข่า ต้นขา หรือสะโพก เพื่อช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูกล้ามเนื้อและข้อต่อโดยตรง วิธีนี้ปลอดภัย ไม่ต้องใช้ยาสลบ และเหมาะสำหรับการฉีดในปริมาณเล็กน้อย
- ฉีดเข้าที่ข้อเข่า เพื่อช่วยสร้างเซลล์กระดูกอ่อน สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องข้อเข่าเสื่อม เป็นที่นิยมมาก
8. หลังฉีดสเต็มเซลล์ มีผลข้างเคียงหรืออาการที่อาจเกิดขึ้นหรือไม่?
ตอบ : โดยทั่วไป การฉีดสเต็มเซลล์มีความปลอดภัยสูง แต่ในบางกรณีอาจมีอาการข้างเคียงเล็กน้อยขึ้นอยู่กับวิธีการฉีดและตำแหน่งที่ฉีด เช่น
- ฉีดสเต็มเซลล์ผ่านทางหลอดเลือดดำ (IV Drip): อาจมีอาการไข้เล็กน้อยหลังทำ เนื่องจากร่างกายกำลังปรับตัวและกระบวนการฟื้นฟูเซลล์เริ่มทำงาน
- ฉีดสเต็มเซลล์ที่ใบหน้า: อาจมีรอยช้ำเล็กน้อยในบางจุด คล้ายกับการฉีดฟิลเลอร์หรือทรีตเมนต์ผิวทั่วไป ซึ่งมักจะหายไปเองภายในไม่กี่วัน อย่างไรก็ตาม ควรศึกษาข้อมูลเรื่องข้อห้ามหลังฉีดสเต็มเซลล์หน้าเพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่อาจกระทบผลลัพธ์
- ฉีดสเต็มเซลล์ที่ข้อเข่า ไหล่ หรือบริเวณอื่นๆ: โดยปกติไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรง แต่อาจมีอาการปวดหรือบวมเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด ซึ่งจะหายไปเองภายในระยะเวลาไม่นาน
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตามแต่ละบุคคล โดยก่อนทำทุกหัตถการ ผู้รับบริการจำเป็นต้องสอบถามรายละเอียดกับแพทย์ที่ทำการดูแลให้ละเอียดก่อนตัดสินใจด้วยตัวเอง
9. ต้องดูแลตัวเองอย่างไรก่อนและหลังฉีดสเต็มเซลล์ (Stem Cell)
- ก่อนฉีดสเต็มเซลล์ต้องเตรียมตัวยังไง ?
ตอบ : ก่อนเข้ารับบริการฉีดสเต็มเซลล์ จำเป็นต้องปรึกษากับแพทย์ก่อนทุกครั้ง เนื่องจากแต่ละคนมีความต้องการและสภาพร่างกายที่แตกต่างกัน โดยแพทย์จะวางแผนการรักษาและให้คำแนะนำเฉพาะบุคคล ทั้งนี้ควรให้นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 8-12 ชม. เพื่อให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่พร้อมรับการฟื้นฟู หากเป็นการฉีดสเต็มเซลล์ผ่านการดริป ควรงดอาหารประเภทของทอดและของมันอย่างน้อย 2-3 วัน และดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมและฟื้นฟูเซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ผู้ที่กำลังตัดสินใจควรศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับฉีดสเต็มเซลล์ ผลข้างเคียงอย่างรอบด้าน เพื่อประกอบการตัดสินใจ
- วิธีดูแลตัวเองและข้อห้ามหลังฉีดสเต็มเซลล์
ตอบ : เนื่องจากการฉีดสเต็มเซลล์มีหลายวิธีการรักษา และรวมถึงอ้างอิงตามแต่ปัญหาหรือข้อควรระวังของแต่ละบุคคล จึงจำเป็นต้องพูดคุยกับแพทย์ที่ทำการรักษาให้ละเอียด หลังรับบริการ แนะนำให้พักผ่อน 1 วัน และดื่มน้ำให้เพียงพอ หากเป็นการฉีดสเต็มเซลล์ผ่านทางดริป ควรงดออกกำลังกายหนักหรือเล่นกีฬากลางแจ้งอย่างน้อย 1-2 วัน
หรือหากเป็นบริเวณข้อเข่า แนะนำให้งดการออกกำลังกายหนัก หลีกเลี่ยงการเดินหรือถือของหนักอย่างน้อย 1-2 วัน เพื่อป้องกันแรงกดทับที่อาจส่งผลต่อการฟื้นฟูของเซลล์ สำหรับการฉีดสเต็มเซลล์หน้าและลำคอ ควรหลีกเลี่ยงการขัดผิว สครับผิวหน้า หรือทำหัตถการที่ใช้มือ เช่น เลเซอร์ เป็นเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์ รวมถึงงดการออกไปเดินกลางแจ้งที่แดดแรงจัด เพื่อลดความเสี่ยงต่อการระคายเคืองและช่วยให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานขึ้น
ปลดล็อกพลังการบำบัดด้วยเซลล์ต้นกำเนิด เพื่อชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพให้ดีขึ้นกว่าเดิม
เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายเราจะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เซลล์ในร่างกายเสื่อมสภาพและแบ่งตัวช้าลง นำไปสู่ความแก่ชราและปัญหาสุขภาพต่าง ๆ
แต่ด้วยนวัตกรรมการบำบัดด้วยเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell Therapy) หรือที่หลายคนรู้จักกันว่าการฉีดสเต็มเซลล์ คุณสามารถฟื้นฟูสุขภาพและชะลอความเสื่อมของร่างกายได้อีกครั้ง
เช็กลิสต์เพื่อความมั่นใจทำเซลล์บำบัดอย่างไรให้ปลอดภัย
1. เลือกแล็บที่ได้มาตรฐานระดับสากลและมีการรับรองคุณภาพอย่างชัดเจน
เซลล์ต้นกำเนิดควรถูกจัดเก็บและเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล เช่น Clean Room Class 100 หรือ ISO 15189, ISO 15190, ISO 27001, ISO 9001 ที่ได้รับการรับรองสำหรับการจัดการเซลล์ต้นกำเนิด รวมถึงการรับรองจาก NIA และ ISBT และที่มีมาตรฐานการเพาะเลี้ยงเซลล์ที่ดี หรือ Association for the Advancement of Blood & Biotherapies (AABB) เพื่อให้คุณมั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัยสูงสุด
2. มีเทคนิคการเพาะเลี้ยงเซลล์ที่ทันสมัยและปลอดภัย
มีการใช้น้ำยาเลี้ยงเซลล์แบบ Xeno-free ซึ่งไม่มีส่วนผสมจากผลิตภัณฑ์สัตว์ เพื่อความปลอดภัยสูงสุดในการรักษามนุษย์และความบริสุทธิ์ของเซลล์ รวมถึง Cell culture media for GMP-compliant manufacturing เป็นชนิดจีเอ็มพีเกรด (GMP) เพื่อให้เซลล์ต้นกำเนิดมีคุณภาพสูงและปลอดภัย ทั้งนี้มีการควบคุมอุณหภูมิในการจัดเก็บเซลล์ในไนโตรเจนเหลวที่ -198 องศา และละลายเซลล์ภายใต้อุณหภูมิ 37 องศา เพื่อเตรียมพร้อมในการใช้งาน
3. เซลล์ต้นกำเนิดที่เยาว์และมีประสิทธิภาพสูง
เซลล์ MSCs (Mesenchymal Stem Cells) จะต้องถูกเพาะเลี้ยงที่ Passage 0 จากเซลล์สด (Fresh Cells) เพื่อให้ได้คุณภาพของเซลล์ต้นกำเนิดที่แท้จริง และควรใช้ในระยะเพียง Passage 1-3 ซึ่งเป็นช่วงที่เซลล์มีความอ่อนเยาว์และประสิทธิภาพสูงสุดในการฟื้นฟูร่างกายทันที โดยลักษณะของเซลล์ที่เพาะเลี้ยง (Cell appearance) ควรมีรูปร่างลักษณะเฉพาะตรงตามชนิดของเอ็มเอสซีของมนุษย์ซึ่งมีรูปร่างหัวท้ายแหลม (เหมือนกระสวย หากถ่ายเซลล์ขณะยืดตัว)
4. มีการทดสอบ เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
เซลล์ทุกตัวต้องผ่าน Sterility Testing เพื่อตรวจสอบความปลอดเชื้อจากแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา ไมโครพลาสมา และสารพิษ และควรใช้การ Immunophenotyping ตรวจสอบเซลล์ด้วยโปรตีน CD73, CD90, CD105 เพื่อยืนยันคุณลักษณะของเซลล์ MSCs ที่ดี นอกจากนี้ต้องมี Cell viability ที่มากกว่า 90% ในเซลล์ที่ถูกล้างเรียบร้อยแล้ว เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงของเซลล์ที่ได้รับโดยเฉพาะในการฉีดสเต็มเซลล์เพื่อความงามหรือฟื้นฟูสุขภาพ การควบคุมคุณภาพจึงสำคัญมาก เนื่องจากผลข้างเคียงจากการฉีดสเต็มเซลล์ อาจเกิดขึ้นได้หากเซลล์ไม่ได้มาตรฐาน และอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพหรือความปลอดภัยในระยะยาว
5. ทีมแพทย์และพยาบาลวิชาชีพที่เก่งด้านนี้โดยเฉพาะ
แพทย์ควรได้รับ American Board of Anti-Aging and Regenerative Medicine (ABAARM) และได้รับการรับรองจากสมาคมเซลล์บำบัดแห่งประเทศไทย เพื่อพร้อมที่จะออกแบบการรักษาที่เหมาะสมกับคุณในเรื่องใช้เซลล์ต้นกำเนิดในการฟื้นฟูสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ควรได้รับการดูแลกับทีมพยาบาลที่มีประสบการณ์ด้านนี้โดยเฉพาะด้วย
เมื่ออายุมากขึ้นเซลล์ในร่างกายจะมีการแบ่งตัวช้าลงและมีจำนวนเซลล์แก่มากกว่าเซลล์อ่อน นี่จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดความแก่ชรา! ให้ R3 Life Wellness เป็นตัวแทนส่งต่อความอ่อนวัยไปถึงคุณอย่างมั่นใจ พร้อมชะลอความเสื่อมโทรมของร่างกายให้ช้าลง ด้วยบริการด้านสเต็มเซลล์ที่ออกแบบเฉพาะคุณคนพิเศษ
เพราะใครๆ ก็อยากแลดูเด็กกว่าอายุจริง พาคุณโกงอายุไปพร้อมกับเทคโนโลยีทางเลือกใหม่แห่งการชะลอวัย มั่นใจในบริการทุกระดับ สนใจติดต่อสอบถามเพื่อรับคำปรึกษาจากแพทย์และประเมินร่างกายได้ที่ R3 Life Wellness ตลอดระยะเวลาทำการ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือสำรองเวลาเข้ารับบริการ ได้ที่
R3 Life Wellness Center 42 อาคาร ไอ ซี พี ชั้น 4 ถนนสุรวงศ์ แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กทม.
- Tel.: 0 2233 8000 , 088 689 8888
- Whatsapp: (+66) 88 689 8888
- Line OA: @r3lifewellness
- Facebook: https://www.facebook.com/r3lifewellness
- Instagram: https://www.instagram.com/r3lifewellness_official/
- Flagship Location: https://maps.app.goo.gl/b3sw5oYTtTUHSM956