ประโยชน์ของวิตามินมีมากกว่าที่คิด เช็กด่วน สัญญาณเตือนก่อนขาดวิตามิน
วิตามิน จัดเป็นอาหารเสริมเพื่อสุขภาพที่ร่างกายต้องการอย่างครบถ้วน แต่หลายคนกลับมองข้ามปริมาณวิตามินที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน เพราะคิดว่าแค่รับประทานอาหารก็ได้รับวิตามินเพียงพอแล้ว ซึ่งในความเป็นจริงเราควรวางแผนการเสริมวิตามินให้ร่างกายอย่างถูกต้อง ครบถ้วน เพื่อให้สุขภาพดี ลดความเสี่ยงจากการเจ็บป่วยต่าง ๆ และให้ได้ประโยชน์ของวิตามินอย่างเต็มที่
วิตามินคืออะไร?
วิตามินคือสารอินทรีย์ชนิดหนึ่งที่จำเป็นต่อร่างกาย เพราะมีส่วนทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานร่วมกันอย่างสมดุล ก่อให้เกิดความแข็งแรงและการเจริญเติบโตของร่างกาย โดยวิตามินจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1. วิตามินที่ละลายได้ในน้ำ ได้แก่ วิตามินซี และ วิตามินบีทุกชนิด วิตามินกลุ่มนี้จะอยู่ในร่างกายราว 2-4 ชั่วโมง หากได้รับเกินความต้องการสามารถขับออกทางปัสสาวะได้ จึงไม่ค่อยสะสมในร่างกาย
2. วิตามินที่ละลายได้ในไขมัน ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค วิตามินกลุ่มนี้หากได้รับมากเกินไปจะเก็บสะสมไว้ในร่างกาย ไม่สามารถขับออกทางปัสสาวะได้
ข้อควรรู้ก็คือ ร่างกายของเราไม่สามารถสร้างวิตามินขึ้นเองได้ การได้รับวิตามินจึงมาจากการรับประทานอาหารตามปกติ และอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ
วิตามินแต่ละชนิดมีประโยชน์ต่อร่างกายต่างกันอย่างไร?
วิตามินที่มีอยู่หลากหลายชนิด ล้วนมีหน้าที่ต่อร่างกายแตกต่างกัน หากต้องการได้รับประโยชน์ของวิตามินอย่างครบถ้วน ควรกินวิตามินอะไรดีเพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินทุกชนิด มาดูกัน
วิตามิน A
ช่วยบำรุงสายตา เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง และมีส่วนช่วยในการเติบโต พบมากในผักใบเขียว, แครอท, ฟักทอง, และผลิตภัณฑ์นม
วิตามิน B
ประกอบด้วยวิตามิน B1 (ไทอามีน), B2 (ไรโบฟลาวิน), B3 (ไนอาซิน), B6 (ไพริดอกซีน), B7 (ไบโอติน), B9 (โฟเลต), และ B12 (โคบาลามิน)
มีส่วนในการผลิตพลังงานจากอาหารที่รับประทาน และเสริมสร้างการทำงานของระบบประสาทและสมอง รวมถึงการสร้างเม็ดเลือดแดง พบมากในธัญพืชเต็มเมล็ด, เนื้อสัตว์, ไข่, ถั่ว, นม, ผักใบเขียว
วิตามิน C
มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน รักษาสุขภาพผิวและฟันให้แข็งแรง นอกจากนี้ยังช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กและเสริมสร้างเนื้อเยื่อในร่างกาย พบมากใน ส้ม, มะนาว, กีวี, ผักใบเขียว, สตรอเบอร์รี่ฃ
วิตามิน D
ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส จึงมีส่วนช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง พบมากใน ปลาที่มีไขมันสูง ตับ ไข่แดง และแสงแดดที่พอเหมาะ
วิตามิน E
เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ และปกป้องผิวพรรณจากมลภาวะ พบมากในน้ำมันพืช, ถั่วเปลือกแข็ง, ผักใบเขียว
วิตามิน K
ช่วยให้เลือดแข็งตัวและเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก จึงช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคกระดูกพรุน พบมากในผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ผักกาดหอม บรอกโคลี
สัญญาณเตือนว่าร่างกายขาดวิตามิน
แม้ว่าเราจะได้รับวิตามินผ่านอาหารที่รับประทานอยู่ทุกวัน แต่ก็ยังมีโอกาสได้รับวิตามินไม่ครบถ้วนเนื่องจากการรับประทานอาหารไม่หลากหลายหรือไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายอาจส่งสัญญาณเตือนด้วยอาการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- ความเหนื่อยล้าและอ่อนเพลีย
- ผมร่วงและเล็บเปราะบาง
- แผลในปาก ปากแห้ง มีแผลแตกมุมปาก และลิ้นบวม
- ปวดกระดูกหรือกล้ามเนื้อ เป็นตะคริวบ่อย
- มองไม่ชัดในตอนกลางคืน สายตาพร่ามัว
- อาการชาตามมือและเท้า
- เลือดออกตามไรฟัน
- อาการโลหิตจาง
- ผิวแห้งและเป็นสิว
- เป็นหวัดง่าย
ใครบ้างที่เสี่ยงขาดวิตามิน?
พฤติกรรมการใช้ชีวิตตามปกติของเรา ล้วนส่งผลให้ร่างกายขาดวิตามินได้โดยไม่รู้ตัว ทั้งจากการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกหลัก การดื่มแอลกอฮอล์ หรือแม้แต่การรับประทานยาบางชนิด การขาดวิตามินจึงเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะคนกลุ่มต่าง ๆ ต่อไปนี้
- ผู้สูงอายุ ที่มีปัญหาในการรับประทานอาหาร จึงทำให้รับประทานอาหารไม่หลากหลาย รวมทั้งปัญหาด้านการดูดซึมสารอาหารที่เกิดขึ้นตามวัย
- ผู้ที่รับประทานอาหารไม่หลากหลาย เช่น คนที่ไม่รับประทานผัก ผลไม้ ซึ่งเป็นแหล่งของวิตามินนานาชนิด หรือคที่หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสัตว์ อาจทำให้ขาดวิตามินบี 12 ที่มีเฉพาะในเนื้อสัตว์ ไข่ นมเท่านั้น
- ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ เพราะแอลกอฮอล์จะทำให้การดูดซึมวิตามินไม่ดีเท่าที่ควร และยังส่งผลร้ายต่อตับและกะเพาะอาหาร
- ผู้ที่ทำงานหนัก หรือมีความเครียดสะสม เพราะความเครียดจะทำให้ร่างกายดึงเอาวิตามินออกมาใช้มากขึ้น หากมีความเครียดสะสมก็จะทำให้ร่างกายทำงานผิดปกติ และยิ่งต้องการวิตามินเพิ่มขึ้น
- ผู้ที่หลีกเลี่ยงแสงแดด แม้ว่าแสงแดดที่ร้อนแรงจะส่งผลต่อผิวหนัง แต่ในแดดอ่อน ๆ จะมีวิตามินดีที่ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ หากใครที่ไม่อยากสัมผัสกับแสงแดดจัด แนะนำให้ตื่นมารับแสงแดดเช้า ไม่เกิน 9 โมง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการรับวิตามินดีเข้าสู่ร่างกาย
โรคที่เกิดจากการขาดวิตามิน
หลายคนอาจคิดว่าการขาดวิตามินไม่ใช่เรื่องร้ายแรง แค่ทำให้ร่างกายรวน ๆ บางช่วงเวลา แต่ที่จริงแล้วการขาดวิตามินทำให้ร่างกายอ่อนแอ เกิดโรคต่าง ๆ ตามมามากมาย รวมทั้งโรคที่เกิดจากการขาดวิตามินโดยตรง ได้แก่
- โรคปากนกกระจอก คืออาการอักเสบบริเวณมุมปาก จนเกิดเป็นแผลเปื่อย บวมแดง มีสาเหตุจากการขาดวิตามินบี
- โรคลักปิดลักเปิด หรืออาการเลือดออกตามไรฟัน จนทำให้เหงือกบวม อักเสบ ตัวซีด มีสาเหตุมาจากการขาดวิตามินซี
- โรคโลหิตจาง เป็นภาวะที่ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงได้น้อย จนทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ตัวซีด หัวใจเต้นแรง หนึ่งในสาเหตุมาจากการขาดวิตามินบี ซึ่งมีส่วนในการสร้างเม็ดเลือดแดงนั่นเอง
- โรคกระดูกอ่อน เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่าโรคกระดูกอ่อนเกิดจากการขาดแคลเซียมหรือฟอสฟอรัส แต่ปัจจัยที่ซ่อนอยู่ก็คือการขาดวิตามินดี เพราะวิตามินดีมีส่วนช่วยในการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย
- โรคสมองเสื่อม เกิดจากการขาดวิตามินบี ที่มีส่วนสำคัญในการดูแลเซลล์สมองให้ทำงานได้อย่างดี โดยเฉพาะในคนที่ดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก เซลล์สมองถูกทำลาย วิตามินจะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคสมองเสื่อมได้
ผลเสียจากการรับประทานวิตามินมากเกินไป/ กินวิตามินทุกวันอันตรายไหม
นอกจากคำถามที่ว่ากินวิตามินอะไรดีแล้ว หลายคนยังสงสัยด้วยว่ากินวิตามินทุกวันอันตรายไหม โดยเฉพาะคนที่รับประทานอาหารเสริมเพื่อสุขภาพเป็นประจำ การรับประทานวิตามินเกินจำเป็นอาจทำให้เกิดความเป็นพิษในร่างกายได้ ทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง
อันตรายแบบเฉียบพลัน จะมีอาการคล้ายกับการรับประทานยาเกินขนาด ซึ่งปกติจะพบได้น้อยจากการรับประทานวิตามิน อาการส่วนมากเช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ วิงเวียน อาเจียน ความดันโลหิตต่ำ หรือร้ายแรงถึงขั้นหมดสติ
อันตรายแบบเรื้อรัง มักเกิดจากการรับประทานอาหารเสริมปริมาณมากติดต่อกันเป็นเวลานาน โดยไม่ได้อยู่ภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ จนทำให้เกิดการสะสมของวิตามินมากเกินไปโดยไม่รู้ตัวและกลายเป็นพิษต่อร่างกาย อาการที่พบมากได้แก่ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ วิงเวียน อ่อนล้า และน้ำหนักค่อย ๆ ลดลง
การตรวจค่าวิตามินและสารอาหาร
การที่จะไขคำตอบได้ว่าเราควรกินวิตามินอะไรดี ที่เหมาะสมและจำเป็นต่อร่างกายจริง ๆ จะต้องมาจากการตรวจค่าวิตามินและสารอาหารในร่างกาย เพราะจะทำให้เราทราบได้อย่างละเอียดว่าร่างกายยังขาดสารอาหารตัวไหน หรือมีวิตามินใดที่สะสมจนก่อให้เกิดผลเสียกับสุขภาพ
สำหรับใครที่ต้องการตรวจค่าวิตามินและสารอาหาร แนะนำให้ตรวจด้วยการทำ Oligoscan ที่ไม่ต้องเจาะเลือด ไม่เจ็บตัว ไม่ต้องงดน้ำและอาหาร โดยจะใช้การดูค่าสะสมผ่านเนื้อเยื่อ เป็นวิธีที่สะดวก และได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ โดยการตรวจจะตรวจได้ทั้งวิตามินละลายในน้ำ ได้แก่ วิตามินบี วิตามินซี วิตามินละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี ไลโคปีน กลุ่มแคโรทีนอยด์ โคเอนไซม์คิวเท็น และแร่ธาตุ เช่น แมกนีเซียม โครเมียม คอปเปอร์ ซีลีเนียม เหล็ก สังกะสี แคลเซียม เป็นต้น การตรวจด้วย Oligoscan เป็นเทคโนโลยีเฉพาะที่ไม่ได้หาตรวจได้ทั่วไปตามคลินิกหรือโรงพยาบาล แต่สามารถเข้ารับการตรวจได้ที่ R3 Life Wellness Center ซึ่งเป็นเครื่องแท้ เครื่องใหม่ มีมาตรฐาน ประมวลผลตรงจากประเทศฝรั่งเศส
เสริมวิตามินตรงจุด Personalized Supplement
เมื่อตรวจค่าวิตามินและสารอาหารแล้ว สิ่งที่ควรทำต่อมาคือนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์อย่างละเอียดและจัดสรรการรับประทานอาหารเสริมเพื่อสุขภาพที่เหมาะกับแต่ละคน ซึ่งต้องอยู่ภายใต้การวินิจฉัยของแพทย์เท่านั้น โดยแพทย์จะพูดคุยถึงวัตถุประสงค์ในการรับประทานวิตามินของเราว่าต้องการเพื่อเสริมอาหาร หรือเพื่อแก้ไขความผิดปกติในด้านใด รวมถึงเงื่อนไขด้านสุขภาพต่าง ๆ เช่น โรคประจำตัว หรือพฤติกรรมในการใช้ชีวิต
ที่ R3 Life Wellness Center มุ่งเน้นการแก้ปัญหาสุขภาพอย่างตรงจุด ด้วยบริการ Lab Test ที่มีความละเอียด แม่นยำ โดยทีมแพทย์ดีกรีอเมริกันบอร์ดด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย (Anti-Aging) ที่จะให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพ และยังมีทรีตเมนต์ที่ช่วยเสริมให้ร่างกายแข็งแรงอย่างครบสูตร อาทิ การดริปวิตามิน และการจัดสูตรอาหารเสริมเพื่อสุขภาพแบบ Personalized จึงหมดห่วงได้เลยว่ากินวิตามินอันตรายไหม เพราะที่นี่ดูแลด้วยหลักการแพทย์อย่างถูกต้อง
การรับประทานวิตามินที่ได้ผลดีต่อสุขภาพ ไม่ใช่การรับประทานในปริมาณมาก แต่เป็นการรับประทานที่ตอบโจทย์ความต้องการของร่างกายเราอย่างแท้จริง มาที่ R3 Life Wellness Center แล้วคุณจะพบผลลัพธ์ที่แตกต่างจากการซื้อวิตามินมารับประทานเองอย่างแน่นอน